ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยเรื่องสั้นจบในตอน ทั้งดีและร้าย สนุกสนาน ไร้แก่นสาร หรือมุ่งมั่นค้นหาสาระ บางเรื่องที่ผ่านมานั้น เราอาจจะลืมมันไปเสียนาน จนกระทั่งมีเหตุการณ์ให้หวนระลึก เรื่องที่เคยจบในตอน ก็กลับกลายเป็นแค่ปฐมบท สำหรับเรื่องขนาดยาวต่อมา
ต่อจาก ชีวิตผ่านไปทีละวัน (1) ช่วงอนุบาล-ประถม
ผมย้ายเข้ามากรุงเทพ และสอบเข้าโรงเรียนบดินทร์ ได้ที่ 1 ของรุ่น (ที่ทราบก็เพราะอาสะใภ้ เป็นอาจารย์ที่นั่น) นั่นทำให้ความคาดหวังจากคนรอบข้างเริ่มกดทับ และก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า ในโลกนี้มีคนที่อยากแข่งขันกันอยู่ด้วย
ผมไม่อยากแข่งกับใคร ผมไม่อยากเป็นที่ 1 แล้วมีเพื่อนชม แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นมิตร ผมรู้สึกว่าพ่อก็เริ่มชินกับผลการเรียนดีของผม ทำให้ท่านคาดหวังว่า ผมควรจะได้ 4.00 เป็นปกติไปตลอด ทำให้ผมบอกกับตัวเองในวัยนั้นว่า “จงทำสิ่งพิเศษให้เป็นเรื่องพิเศษ อย่าทำสิ่งพิเศษให้เป็นเรื่องปกติ” และหาทางลดความคาดหวังของคนอื่นๆ จนเริ่มทำได้ตอนที่เลื่อนขึ้นม.3 ผมได้อยู่ห้อง Queen แทนที่จะอยู่ห้อง King เหมือนที่ผ่านมา และเริ่มได้เกรด 3
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผมทำดี หรือได้คะแนนดี มันจึงเป็นเรื่องพิเศษ เมื่อผมทำไม่ดี ได้คะแนนธรรมดา มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา
ความคิดในเรื่อง “จงทำสิ่งพิเศษให้เป็นเรื่องพิเศษ อย่าทำสิ่งพิเศษให้เป็นเรื่องปกติ” นั้นค่อยๆเกิดขึ้น และฝังอยู่จนกลายเป็นตัวตนแบบนึงของผม มันทำให้ผมมีระยะห่างกับเกือบทุกคนตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่ากำลังจะกลายเป็น “คนดีสมบูรณ์แบบ” สำหรับใครแล้ว ผมกลับกลัวว่า เค้าจะมาคาดหวังอยากให้ผมเป็นอย่างที่หวัง ผมก็จะรีบชิงสร้างระยะห่างออกมา ไม่ให้ “ความดีสมบูรณ์แบบ” นั้น เป็นภาพลักษณ์ของผมต่อเค้า
ใช่ เพราะในช่วงมัธยมนั้น ผมเป็นทั้งตัวแทนโรงเรียนเข้าแข่งขันหลายต่อหลายเรื่อง, เป็นประธานสีที่ได้รับเลือกเอกฉันท์, อยู่ในคณะกรรมการนักเรียน, คณะกรรมการอินเตอร์แรค, เป็นประธานเชียร์ของโรงเรียนในงานกีฬา 5 พระเกี้ยว, ได้รับรางวัลแต่งเพลง (แต่ง+ร้อง+เล่นกีต้าร์) จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และได้แสดงหน้าโรงเรียน, เป็นตัวแทนโรงเรียนแข่งขันตอบปัญหาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ธรรมะ ประกวดสิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ เป็นคนพูดนำในงานรับน้องระดับมัธยมปลาย, นำร้องเพลงชาติ ไหว้พระ สวดมนต์ (ทำไปได้งัยเนี่ย) ฯลฯ
ภาพลักษณ์คนดีสมบูรณ์แบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมศึกษาจิตวิทยาเชิง How-to มากเหลือเกินในช่วงนั้น อ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองไม่น่าต่ำกว่าร้อยเล่ม, ฝึกวินัย การตอบสัมภาษณ์ ฝึกกังฟู สมาธิ เทควันโด และอื่นๆหลายแบบ จนมันก็ฝังเข้าไปในกระบวนความคิดและการแสดงออก
แต่ตอนจะจีบผู้หญิง ผมกลับรู้สึกว่า ควรจะเปลื้อง How-to ทั้งหลายออกไป แล้วทำตามสิ่งที่คิดจริงๆ ไม่ให้ซ้ำ How-to ผลก็เลยกลายเป็นว่า มันเร่ิมต้น และจบลง เละไม่เป็นท่า เหมือนคนที่อยากจะแต่งเพลงเพราะๆซักเพลง แต่ตั้งใจว่าจะต้องไม่มีส่วนใดคล้ายเพลงอื่นที่มีมาในโลก แน่นอนว่า มันย่อมให้ผลลัพธ์ออกมาแต่โน้ตห่วยๆ ประหลาดๆ และไม่โรแมนติกเอาซะเลย
การลองดูไ่ม่น่าเสียหายอะไรหนา
ถึงแม้ว่าจะเริ่มกับสิ่งละเอียดอ่อน เช่น หญิงก็ตาม เห็นด้วยว่าปลดปล่อย ฮาว ทู ออกไป แล้วเดินตามทางที่เราประดิษฐ์เองได้ โอว อยากเป็นหญิงมีโชคเช่นนั้นจริง 555
ทำกิจกรรมเยอะจังเลยนะคะ
เราก็เด็กกิจกรรมเหมือนกัน
ได้เป็นประธานเชียร์ตอนกีฬาสีของโรงเรียนเหมือนกันค่ะ
มาชวนคุณเม่นเล่น Blog Tag ด้วยค่ะ
ที่ลิงค์นี้ค่ะ
http://poppyw.freemac.net/archives/171
ความจริงเราว่าไม่เห้นจำเป็นจะต้องกลัวว่าคนอื่นจะคาดหวังในตัวเรามากเลยนะ เพราะลึกๆแล้วถ้าคนๆนั้นเค้ากลัวที่จะผิดหวังและรู้ธรรมชาติของมนุษย์ เค้าก็คงไม่คิดว่าคนๆหนึ่งจะ perfect หรือเป็นอยางที่เค้าคิดได้ตลอด การคาดหวังบางครั้งก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดนะ
อย่างจีบผู้หญิง ถ้าเป้นเรา เราคงทำตามความรู้สึก คงไม่ได้คิดว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ทำไปเพราะใจบอกให้ทำ ทำแล้วมีความสุขที่ได้ทำไม่ใช่เหรอ
ฮื่อ
แล้วตกลง
จีบหญิงนี่มัน
สมบูรณ์แบบไม๊
…
นัดกันมาหัดใหม่ดีป่ะ