เพื่อนๆบดินทร์

13 ธันวาคม 2001 00:21 น. บันทึก ,

ดูเหมือนว่า กาลเวลา จะเป็นโจรขโมยความทรงจำที่เก่งกาจนัก
ทั้งที่ไอ้เม่นมีเรื่องจะเขียนตั้งมากมาย แต่ก็คล้ายว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ได้เกิดในดินแดนที่ย่างกรายไปไม่ถึง

“คำพูดล่องลอยอยู่ในอากาศ ไม่คว้าไว้ พรุ่งนี้ มันจะหายไป..”

วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ (10 ธ.ค.) นั้นเป็นวันที่ชาวบ้านเขาหยุดกัน ความจริงไอ้เม่นไม่ควรหยุด เพราะวันอังคารต้อง Present งาน แต่ในเมื่อเพื่อนๆบดินทร์ได้นัดกันเสียดิบดีมาก่อน-นานหลายเดือน ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะปฏิเสธการเที่ยวอันหอมหวาน อิอิอิ

วันศุกร์นัดกันเที่ยง ตระเวณรับ หมู เม่น แมน(ศรุต) มะปราง มีมี่ (เพื่อนมะปราง) และคนสุดท้ายในกรุงเทพฯ คือ ปุ๊ก (สังเกตว่าเป็นคนที่อาภัพนัก เพราะชื่อไม่ได้ขึ้นต้นด้วย ม.ม้า เหมือนคนอื่น เลยโดนทิ้งให้รอซะเกือบชั่วโมง – ด้วยความโอ้เอ้ของพวเรา) แล้วขับไปหาคุณหมอวิทย์ ที่วิเชียรบุรี เพื่อไปเจอกับคุณหมอ(ฟัน)โอ๋ ที่เพชรบูรณ์

รถแล่นออกจากกรุงเทพฯพักใหญ่ ไอ้เม่น ไอ้แมน และยัยปุ๊ก นั่งอยู่ท้ายกระบะ สายตาพลันเหลือบไปเห็นโรงพยาบาลวิเชียรบุรีที่นัดไว้กับไอ้วิทย์ ไอ้หมูมันควรจะหยุดรถนี่นา

“ไอ้เม่น ไม่เคาะกระจกบอกไอ้หมูหน่อยรึวะ มันขับเลยแล้วนะโว้ย” ไอ้แมนเตือนด้วยความหวังดี
“เฮ้ย ไม่ต้อง กูรู้จักไอ้หมูดี แล้วข้างหน้ายังมีมะปรางอีก ไม่มีทางหลงโว้ย มึงต้องไว้ใจเพื่อน” ไอ้เม่นกล่าวตอบด้วยมาดพระเอก แล้วบอกถึงความคิดอันชาญฉลาด..
“กูว่า มันต้องโทรหาไอ้วิทย์เพื่อเปลี่ยนที่นัดแล้วแน่ๆ เดี่ยวมึงคอยดูนะ พอไปจอด มันต้องแปลกใจว่า เอ๊ะ! ทำไมไอ้เม่นมันรู้วะ ไม่เห็นกระโตกกระตากเหมือนชาวบ้านทั่วไป”

หลังจากนั้น ไอ้หมูขับรถไปเรื่อยๆ ตะวันค่ำลง ดูท่าทางเราจะหลงทาง

“ไอ้เหี้ยเม่น ทำไมมึงเห็นที่นัดแล้วไม่บอกกู๊…” ไอ้หมูจอดรถ แล้วลงมาด่า หลังจากพบว่าเราหลงทางแล้วจริงๆ
“แหะ แหะ ก็กูนึกว่ามึงรู้แล้วนี่เนาะ อ้ายห่า กูอุตส่าห์เป็นศาสตรจารย์ดัมเบิ้ลดอร์ กล่าวกับแมคคอนิกัลว่า คุณต้องไว้ใจแฮกริ๊ดดดด….”

รูปไปเที่ยวยังมาไม่ถึงซะที ดูรูปเก่าๆไปพลางๆก่อนละกันนะเพื่อนๆ

การเที่ยวเริ่มต้นขึ้นในวันรุ่งขึ้น เวลาหกโมงเช้า!! (แม้ไอ้เม่นจะไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ตื่นเวลานี้ แต่ มท.โอ๋ ก็จัดระเบียบทริปของเราอย่างเคร่งครัด กินเหล้าได้ถึงกี่โมง เข้านอนกี่โมง ตื่นกี่โมง มีตารางเที่ยวอะไรบ้าง ฯลฯ อ้อ .. มีการบรี๊ฟงานด้วยนะเออ)
หลังจากไปเดินตลาดยามเช้า พวกเราก็มุ่งไปขี่จักรยานไต่ภูเขา ที่ทุ่งแสลงหลวงระยะทาง 34 กิโลเมตร – อย่างแข็งขัน
แล้วก็เจอกับพี่ที่ให้เช่าจักรยาน ถามว่า จะให้เค้าขับรถกระบะตามเก็บรึเปล่า?

“คนอื่นจะเอาก็ได้นะ แต่เราไม่เป็นไร… 34 กิโลเอง”
ไอ้เม่น อดีตฟูลแบ็ค แห่งทีมรักบี้อินทาเนียผู้แข็งแกร่ง ออกปากก่อนใครเพื่อน


การได้ขี่จักรยาน ในสายลมของหุบเขา ในแสงแดดของยามเช้า และในบรรยากาศของท้องทุ่ง ที่มองไปไกลสุดตา มีเพียงพวกเราเท่านั้น
จะไม่รื่นรมย์ได้อย่างไรหรือ ?

แต่ก็นั่นแหละ หลังจากขี่จักรยานในบรรยากาศที่แสนสวย ไอ้เม่นก็ผ่านเนินหฤโหด (คนทั่วไปเรียกว่าทางราบ แต่ไอ้เม่นคิดว่า มันควรจะเรียกว่าเนินหฤโหด แม้ว่าไอ้วิทย์ ผู้คลั้งไคล้การ์ตูนสิงห์นักปั่นจะบอกว่า “นี่เค้าไม่เรียกว่าเนินหรอก”)

ความสุขในสายลม เริ่มกลายเป็นความระทมทุกข์ แล้วไอ้เม่น ก็ล่วงละเมิดกฏของนักขี่จักรยานข้อหนึ่งจนได้ ด้วยการหยุดที่ตีนเนิน
(กฎสามัญที่นักขี่จักรยานควรสำเหนียกคือ การผ่อนแรงเมื่ออยู่ตีนเขา จะไม่มีแรงก้าวไปสู่ยอดเขา)
ทันใดนั้น แม้ไอ้เม่นจะรู้สึกโรแมนติคเยี่ยงผู้ชายอบอุ่นทั้งหลาย แต่มันก็เห็นหนทางอันยาวเหยียดและเริ่มคิดว่า “กูต้องปั่น 34 กิโลจริงหรอวะเนี่ยยยย”

ไอ้เม่นหันมองรอบกาย เหลือบไปสบตาไอ้หมู แล้วต่างก็รู้สึกตรงกันว่า การขึ้นรถกระบะ ไม่ใช่ความอดสูซักเท่าไหร่หรอกน่า


ช่ายยแล้ว การขึ้นรถกระบะ แล้วมองเพื่อนผู้หญิงขี่จักยาน ไม่ใช่ความน่าอดสูเท่าไหร่
แต่ที่ทุเรศกว่านั้น คือไอ้เม่น และ ไอ้หมู ขึ้นไปนอนหลับ และไม่ยอมลงมาขี่อีก ฮ่า ฮ่าาาาา

โอย แค่คิดถึง ก็เหนื่อยจังเล้ย เดี๋ยวพรุ่งนั้ค่อยเล่าต่อละกันนะ

นินทากาเลเหมือนเทสุรา เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าหายใจ
ณ ท้ายรถกระบะที่แล่นไปสู่เพชรบูรณ์ ไอ้แมน เพื่อนผู้เพิ่งจบโทเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ (กำลังจะต่อเอก แต่แวะมาเมืองไทยก่อน)
กล่าวหลายประโยคที่แสดงอาการคิดถึงบ้านและเพื่อนๆ โดยไม่ลืมมุขโรแมนติคประจำใจของมัน (เพื่อนบางคนอาจจะบอกว่า มันเรียกว่ามุขลาวๆ แต่กระผมเห็นว่า มันกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกินไป เรียกว่า มุขโรแมนติคละกัน)

มองขึ้นไปบนฟ้าแสนสวย แล้วไอ้แมนก็เริ่มต้นประโยค..
“ไอ้เม่น มึงเห็นเมฆก้อนนั้นไหม กูว่า มันคล้ายหน้าคนกำลังพรอดรักกันเลยว่ะ”
“อ๋อ ไอ้หน้าผู้ชาย จะ จูบ ผู้หญิงอะนะ” ไอ้เม่นกำลังคิดว่า มันไม่มีอะไรน่าสนใจ
“อ้ายห่า พรอดรักโว้ย กูว่า มันต้องเป็น เมฆแห่งความรักแน่เลยว่ะ” ไอ้แมนยืนยันให้ดูให้ได้
“ตรงไหนวะ นั่นมัน French Kiss ชัดๆ ..” ไอ้เม่นขักเริ่มสังเกต และเริ่มตรัสรู้ ..
”.. อ๋อ กูรู้แล้ว มันไม่ใช่เมฆแห่งความรักหรอกโว้ย..”
“มันเป็นเมฆแห่งความใคร่ต่างหาก มึงดูสิ ดูดดื่มขนาดน้านนน อิอิอิ”

– – –

(ขอนินทาเพื่อนวิศวะเล็กน้อย เดี๋ยวจะหาว่า วันนี้ไม่มีสุรา ฮี่ ฮี่)

ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งใจกลางสยามแสควร์ ชายไทยวัยเจริญพันธุ์ 3 ตัว กำลังทุ่มเถียงถึงความเหมาะสมไม่เหมาะสม รวมถึงปริมาณเงินในกระเป๋า

“ไอ้ ก. เดี๋ยวนี้มึงไปทเวนตี้บ่อยชิบหาย แม่ง แล้วก็มาบ่นเปลืองตังค์” ไอ้ ฮล. กล่าวตักเตือนเมื่อเห็นเพื่อนชักเริ่มเหยียบขาลงสู่อบายมุข
ไอ้ ก. รู้สึกสะอึกเล็กน้อย แต่เมื่อทบทวนได้ ก็ลุกขึ้นชี้หน้าเพื่อนอีกคนหนึ่ง
“ถึงกูจะไปบ่อยยังไง ก็ไม่บ่อยกว่า ไอ้ ฮน. หรอกโว้ย”

“ไอ้เหี้ย..” นาย ฮน. เริ่มสะอึกมั่ง ในขณะที่สมองเริ่มหาคำแก้ตัว
“ก็มึงน่ะแหละ ไอ้ ฮล. มึงน่ะ ชวนกูทู๊กครั้งเล้ย ความผิดมึงงงงง”

พลันที่ไอ้เม่นได้รับทราบเรื่องเช่นนี้ ปริศนาทั้งมวลก็ไขกระจ่าง
“มันทั้ง 3 ตัวนั่นแหละขอรับ ไปเที่ยวด้วยกันทุกที แล้วยังมาบ่นกันอีก อ้ายห่าาาา”

ความเห็น