เพื่อนๆบดินทร์ (ต่อ)

15 ธันวาคม 2001 00:21 น. บันทึก ,

โอย ปวดท้องเจงๆ
แล้วโรคกระเพาะก็มาเยี่ยมเยือนไอ้เม่นอีกครา – ราวกับจะบอกว่า มึงกินอาหารน้อยเกินไปแล้วนะ อิอิอิ
วันนี้เลยไม่ได้ทำงานเลย กลับบ้าน หาหมอ นอนซม (เนี่ยยย น่าสงสารมะ)

เอาเต๊อะ เมื่ออาการดีขึ้น ก่อนจะไปนอน ก็เขียนบันทึกบนเน็ตเสียหน่อยเป็นไร

เมื่อวานเล่าถึงการไปขี่จักรยานชมธรรมชาติ ซึ่งนั่นนนนก็ยังไม่ครบสูตรความเหนื่อย วันต่อมาไกด์โอ๋ของเราจึงพาไปชมภูหินร่องกล้า และ ปีนน้ำตก ซึ่งดันเป็นที่ท่องเที่ยวที่ดัง และ เราไปในวันหยุด มันเก๊าะเลยเต็มไปด้วยผู้คนที่ยื้อแย่งไปสูดอากาศบริสุทธิ์ จอดรถเต็มเขา พร้อมกับชมชาวบ้านผู้ปรับตัวให้เข้ายุคสมัย – เข้ามาเสนอโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์พื้นเมือง..

โอย เมื่อมันเต็มไปด้วยผู้คน ทำอะไรมันก็ต้องต่อคิว.. อยากทำงานก็ต้องต่อคิว อยากไปกิน MK ก็ต้องต่อคิว อยากไปเที่ยว ถ่ายรูปก็ต้องต่อคิว
(เพื่อนบางคนกล่าวปริศนาธรรมเพิ่มเติมว่า อยากซื้อ… ก็ต้องต่อคิว)
แต่ก็นั่นแหละ สถานที่ท่องเที่ยวที่คนไปเยอะ ก็มักจะการันตีได้ว่าสวย และ ไม่ลำบาก(จนเกินไป) -จริงๆ

เที่ยวจนเหนื่อย ในที่สุด ก็ถึงเวลาร่ำสุราใต้แสงดาว ที่ไอ้เม่นคุ้นเคยเสียที

เนื่องจากเป็นคนรุ่นเก่าๆแก่ๆ อีกทั้งโตมาด้วยกัน
เรื่องที่คุย บทเพลงที่ร้อง และอะไรหลายๆอย่าง มันเลยเหมือนๆกัน

จะไม่รู้สึกอย่างไรเลยหรือ
ถ้าพบว่า มีคนชอบเพลงเดียวกับที่เราชอบ
อ่านหนังสือเล่มเดียวกับที่เราอ่าน
ดูหนังเรื่องเดียวกับที่เราดู

อาจจะไปตามหาเสียแสนไกล
แท้จริงกลับลืมว่า เพื่อนที่รู้จักกันมาแสนนานนั้น
ช่างคล้ายกับเราเหลือเกิน

บางประโยคประทับใจ:

ปุ๊ก : “เม่น เธอจำไม่ได้เลยหรอ นี่เราคบกันมาสิบกว่าปีแล้วนะ”
แมน : “ไอ้เม่น กูจำได้ว่า ตอนป.6 กูนั่งติดมึงที่เอี่ยมจิตร ถ้านับก็ 13ปี แล้วนะโว้ย”
โอ๋ : “นี่ถ้าไม่ใช่พวกนาย เราไม่กินเหล้าด้วยหรอกนะ”
มะปราง : “เราชอบชีพชนก เราชอบตาวัน.. ความจริงเราคิดว่าเราก็ฟังเพลงเหมือนคนทั่วไปนะ”
วิทย์ : “กูคือเจ้าตลก”
(มันยังไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ แม้แต่การเชื่อมั่นว่า ตลกฝืดของมันเป็นยอดตลก)
ไอ้หมู : “ทำไงให้มีมี่กินเหล้าดีวะเม่น ฮี่ ฮี่”
(ไอ้หมูก็ยังเหมือนเดิมเหมือนกัน ชอบมอมชาวบ้านเป็นนิจ โฮ่ โฮ่ โฮ่)


และในหลายครั้งของความรู้สึกดีๆในยามนั้น
ผมก็นึกถึงคำเก่าๆขึ้นมา ที่กล่าวว่า

”… มิตรภาพนั้นเหมือนเครื่องปั้นดินเผา
แตกแล้วต่อใหม่ได้
แต่ความรักนั้นเหมือนดั่งกระจก
แตกแล้ว สิ้นสุดกัน …”

แม้จะไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้นัก (กระผมมันประเภทมองความรักสวยงามเลิศเลอ)
แต่อย่างไร การได้กินเหล้ากับเพื่อนๆนี่มันช่างดีจริงๆนะเออ

คืนหนึ่ง โอ๋นึกขึ้นกลางวงเหล้าว่า “เราจะเป็นอย่างนี้ได้อีกนานเท่าไรกันหรือ”

ความจริงพวกเราย่อมไม่รู้คำตอบ แต่ผมคิด.. และคิดว่าเพื่อนหลายคนคงคิด..
ว่า ไม่เห็นจะสลักสำคัญเลย
เพราะมันจะเป็นไปอีกนานเท่านาน

กลับมาถึงบ้าน หลังจากความรู้สึกเหน็ดเหนี่อยทั้งหลายสิ้นไป
ก่อนที่จะลืมเรื่องราว หรือรายละเอียดบางอย่าง
ผมคงต้องเขียนบันทึกไว้ก่อนว่า ..
..
ความรักนั้นงดงาม แต่มิตรภาพนั้นยั่งยืน

นินทากาเลเหมือนเทสุรา เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าหายใจ
(คราวนี้ขอไม่ขำละกัน แบบว่ากำลังซึ้งง่ะ)

วันหนึ่งในการกินเหล้าที่บ้านไอ้เป้ หลังจากแน่ใจแล้วว่า มันมีแฟนเป็นตัวตน ซึ่งดูเหมือน เป็นการผิดวัตถุประสงค์ ของชมรมชายโสดตลอดกาล อย่างพวกเรา
ไอ้เม่น เลขาธิการชมรม จึงอนุมัติให้เพื่อนๆ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และ ซักไซ้ไอ้เป้อย่างเต็มพิกัด

“ไอ้เป้ มึงจำได้มั้ย ตอนยังไม่มีแฟน มึงเคยร่างนโยบายของเราว่ายังไง”
“กูจำได้ เราจะมีบ้านบนเขา ตื่นเช้ามากินเหล้า ตกเย็นกินเหล้า”
“ดีมาก แล้วยังไงอีก”
“เราจะไม่มีแฟน เพราะมีลูกนั้นอ่อนเพลีย มีเมียนั้นอ่อนใจ บ้านบนเขาเป็นที่พักพิงสำหรับเมียน้อยเท่านั้น”
“ดีมาก ดูท่ามึงจะจำได้ขึ้นใจ ว่าแต่ทำไมมึงบังอาจมีแฟนวะ”
“จริงๆแล้วเนี่ยนะ” ไอ้เป้ชักเปลี่ยนกิริยา จากเงื่องหงอย เป็นเศร้าสลด
“ที่กูมีแฟน ก็เพราะว่า ..”
“กูกลัวว่า วันนึง พวกมึงจะทิ้งกูไป แล้วกูต้องอยู่คนเดียว”

ใครจะว่าขำไม่ขำ ผมคงไม่คาดคั้น
แต่ในวาบนั้น ผมก็รู้สึกลึกๆในใจว่า
แม้มิตรภาพจะยั่งยืน แต่วันนึง เราก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่
..
และเรื่องราวบางอย่าง ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกเลย..

ความเห็น