IL MARE

27 พฤศจิกายน 2001 23:35 น. บันทึก ,

เมื่อวานเพิ่งไปดู IL MARE มา..
หนังเกาหลีที่ตอนแรกดูไตเติลแล้วก็รู้สึกว่า น้ำเน่าแบบเอเชีย ชัวร์
แต่เพื่อนๆหลายคนได้ไปดูแล้วก็บอกว่า จงไปดูเสียเถอะ ดีมากๆๆๆๆ เดี๋ยวมันจะออกจากโรงเสียก่อน

ให้ฮอลิวูด (กับละครไทยที่คิดว่าการจูบจริงมันเท่ห์) มันรู้ซะมั่งว่า หนังที่ไม่มีฉากแม้แต่พระเอกกับนางเอกกอดกัน นั้น มันทำให้ซึ้งชิบหาย ได้โว้ย

วันอาทิตย์
16.00 น.
ไอ้อัค : ไอ้เหี้ยเม่น วันนี้กูว่าง ไปไหนดี เร็วๆๆๆ กูเพิ่งได้หยุดวันอาทิตย์ในรอบ 100 ปี
ไอ้เม่น : วันอาทิตย์กูทำงาน เดี๋ยวรอดึกๆก่อน มึงไปดูหนังก่อน ไสหัวไป
ไอ้อัค : #@$8*&%$!@(%^)&_

19.00 น.
ไอ้เม่น : เย่ งานเสร็จแล้ว ตกลงคืนนี้มึงไปไหนวะ เร้วๆๆๆ
ไอ้อัค : กูเพิ่งดู IL MARE จบ มันโรแมนติคเกินกว่ากูจะไปกินเหล้ากับตัวผู้ได้ว่ะ
กรุณาให้กูอยู่ตามลำพังเถิด

วันจันทร์ (ไอ้เม่นหยุดวันจันทร์และอังคาร)

16.00 น.
ไอ้เม่น : วันนี้เดี๋ยวพอดูหนังเสร็จแล้วไปทำงานดีกว่า งานยังค้างอีกแยะ พวกมึงอย่าคิดชวนกูไปไหนนะโว้ย

19.00 น.
ดูหนังเสร็จ …
หากมีใครถามว่า
ความรู้สึกหลังดูหนังเรื่องนี้เสร็จเป็นอย่างไร
ไอ้เม่นคงต้องบอกว่า …

ในขณะที่จอภาพยนต์ว่างเปล่า
เหลือเพียงตัวอักษรขึ้นปิดเรื่อง..
ประกอบบทเพลงที่กล่าวว่า “We must say goodbye”

และในขณะที่ผู้คนกำลังเดินออกจากโรงหนัง

บัดนั้น ความเหงา ก็จับหัวใจ

ไอ้เม่น : ไอ้ป๊ะ ไอ้ปุ้ย ไอ้อัค ไอ้เป้ ไอ้ฮั่น ไอ้กอล์ฟ ไอ้ฯลฯ มึงอยู่ไหน ออกมาซะดีๆ มากินเหล้ากัน กูไม่บอกมึงหรอกว่ากูเหงา

กูแค่จะบอกว่า “ขอให้ใคร หรือ อะไรก็ได้ ทำให้คืนนี้มันหายไปเสียทีเถิด..”

นินทากาเลเหมือนเทสุรา เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าหายใจ

เหตุเกิดในบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ที่ไอ้ ก. (ที่มีแฟนชื่อ อ. เรียนอยู่อเมริกา) ทำงานอยู่ Production และ กิฟท์ ทำงานอยู่ Marketing
นาย ก. “เฮ้ย กิฟท์ เธออยู่การตลาดใช่ป่ะ เดี๋ยวต้องมีเดินทางไปหาลูกค้าที่อเมริกาเมื่อไหร่หรอ”
กิฟท์ “อืม ก็น่าจะเร็วๆนี้มั้ง ทำไมล่ะ”
นาย ก. “คือ เราอยากจะให้กิฟท์ช่วยพูดกับเจ้านายให้หน่อยน่ะ ..”
นาย ก. “คือ เผื่อเค้าอยากจะหาฝ่าย Production ไปด้วยซักคน อะไรอย่างเงี้ย”
(ไอ้ ก. เริ่มใช้ศัพท์วัยรุ่น “อะไรอย่างเงี้ย” ด้วยความเขินอาย)
นาย ก. “เผื่อว่าเค้า อาจจะอยากให้เราไปด้วย อะไรอย่างเงี้ย”
นาย ก. “เผื่อว่า เราอาจจะได้ไปหาออยล์ด้วยน่ะ อะไรอย่างเงี้ย”

… เออ กูรู้แล้ว อะไรอย่างเงี้ย ว่าแต่มึง(ท่าน)จะเอาตัวรอดในอเมริกาได้รึ เห็นวันก่อนยังทักทายฝรั่งที่ลานเบียร์เลยว่า “พูดทายด้ายนิดนอย พูดฟารางม่ายด้ายเลยย” …

ด้วยความชักรำคาญ แต่ก็เห็นใจหนุ่มเปลี่ยวในเมืองกรุง อย่ากระนั้นเลย กิฟท์จึงคิดทดสอบไอคิวทางภาษาฝรั่งดูซะหน่อย ได้ข่าวว่ามีแฟนเรียนถึงมหาวิทยาลัย มิชิแกนแอนนาเบอร์

กิฟท์ “เอาสิ เอาสิ เดี่ยวเราคุยกับผู้บริหารให้ ว่าแต่ออยล์เค้าเรียนอยู่ที่ไหนหรอ”
นาย ก. “อืมม เดี๋ยวนะ”
นาย ก. “อืมมม”
นาย ก. “มิ มิ มิ ชิ ชิ ชิ แกน แกน แกน …”
นาย ก. “อ๋อ จำได้แล้ว มิชิแกน เพิร์ลฮาเบอร์ ไง”

ผ่าง …. อ้ายห่า ไปเรียนนะโว้ย ไม่ได้ไปรบ … กิฟท์รำพึงด้วยความอ่อนใจ

ความเห็น

ความคิดเห็น

  1. กอล์ฟ 79 พูดว่า:

    บันทึกนี่มันดีแฮะ เหมือนเป็นคนจากโลกอนาคตย้อนเวลากลับมาหาอดีตและก็พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่มีอะไรเกี่ยวโยงไปถึงอนาคตเลยวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด แม้แต่คนเขียน ขอบคุณที่บันทึกเรื่องราวพวกนี้ให้พวกกูหวะ กูไม่ได้ไปงานมึงแต่กูจะฝากซองไปนะโว๊ย ขอให้มีความสุขในชีวิตแต่งงานนะไอ้เม่น

  2. iMenn พูดว่า:

    ฮ่าฮ่า ชีวิตในปัจจุบันก็ต้องเกี่ยวโยงกับชีวิตในอดีตสิฟระ เพราะเคยแห้วจึงเข้าใจคุณค่าของความรัก เคี้ยกเคี้ยก

  3. gift พูดว่า:

    นี่คือไอ้ ก. ที่ไปเรียนที่ประเทศโคลัมเบีย หรือเปล่าวะ ไปทำไม กันดารชิบหาย!