เรื่องนี้ผ่านมาซักระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าควรบอกข่าวเพื่อนๆบ้าง
เราเริ่มคบกันเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากเป็นเพื่อนกันมาประมาณสิบกว่าปี ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น เพื่อนผู้อยู่อเมริกาได้ให้กระผมช่วยจีบเธอ แต่เมื่อผมกลับมาเมืองไทยและได้คุยกับเธอแล้ว ก็ตัดสินใจจีบเธอเอง โดยทิ้งให้เพื่อนได้กล่าวประโยคจากก้นบึ้งว่า “เพื่อนมันเยี่ยวรดหัวใจ” (แม้จะมีคำแก้ตัวบ้าง จากที่เธอบอกว่า ที่เธอพูดคุยและต้อนรับนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเค้าเป็น “เพื่อนของเม่น” … แต่ก็ขอให้ท่านผู้อ่านจงมีใจเป็นกลาง)
บางทีเพราะเรารู้จักกันมานาน เธอจึงเป็นคนที่ใครๆกล่าวกับผมว่า “ไอ้เม่น ถ้าในโลกนี้จะมีผู้หญิงที่มาเข้าใจมึง และ ยอมรับมึงได้ ก็มีแค่คนนี้แหละโว้ย” และผมก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น เธอรู้ว่าผมต้องการอะไรในชีวิต และ ยอมรับที่จะอยู่กับผมในเวลาอันน้อยนิดของแต่ละสัปดาห์ – ทั้งๆที่ผมมีเวลามากกว่าใครๆ แต่ผมก็ใช้มันอย่างฟุ่มเฟือยมากกว่าใครๆ – และมีเวลาให้เธอน้อยกว่าใครๆ
ความสัมพันธ์เริ่มดำเนินไป แต่เวลาและความเอาใจใส่ที่ผมให้เธอก็ไม่มีการพัฒนา ผมบอกเธอว่า ทุกการกระทำในชีวิตของผมนั้น ก็เพื่อความสุขในชีวิตของผม เธอเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เติมเต็มชีวิตของผม – ในท่ามกลางองค์ประกอบอื่นๆในชีวิต
ผมบอกว่า การทำงานก็เป็นความสุขของผม (ผมคิดว่า การพูด “ที่ทำงานอยู่เนี่ยก็เพื่อเราสองคนนะ” มันฟังดูเป็นข้ออ้างที่ปัดความรับผิดชอบเกินไป) และการอยู่คนเดียว, การทำเพลง, การนอน, การเที่ยวเตร่-กินเหล้า ก็เป็นความสุข และเป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน แน่นอนว่า การทำให้เธอมีความสุข ก็เป็นจุดมุ่งหมายด้วย
บางทีเพราะการ “ไม่มีทักษะเชิงครอบครัว” อย่างที่เพื่อนบางคนเคยวิเคราะห์ไว้ ทำให้ผมคิดว่า ในเมื่อก่อนหน้านี้เราอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข เมื่อมาอยู่ร่วมกัน ยังไงก็น่าจะมีแต่ความสุขนี่นา (เพราะอะไรที่คิดว่า มันจะไม่สุข ก็เอาไปไว้ในตอนอยู่คนเดียว หรือถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เราก็สร้างระยะห่างอีกนิดสิ เราก็จะไม่มีปัญหากัน) ทำให้ผมเกิดทรรศนะของการ “ร่วมสุข” เป็นหลัก (อาจกล่าวว่า Win-Win Situation ก็ได้ หากไม่คิดว่าคำนี้มันกระด้างเกินไป) อย่างที่ผมเคยทำมากับทุกๆคนที่ผ่านมาในชีวิต
แต่แล้วก็พบว่า ทรรศนะนี้ทำให้ความรักของผมนั้น แห้งแล้ง ผมไม่เคยมีปัญหากับใครก็จริง แต่ผมก็เป็นที่พึ่งพิงให้กับใครไม่ได้ เพราะผมไม่ได้แบกรับความทุกข์ของเค้าไว้ และไม่ให้โอกาสเค้าแบกรับความทุกข์ของผม (คือคำว่า “ร่วมทุกข์ร่วมสุข” นั่นเอง – สิ่งที่ผมทำไม่ใช่การร่วมทุกข์ของเค้า อย่างมากผมเป็นแต่เพียงช่วยแก้ปัญหาของเค้า)
แล้วทำไมผมจึงไม่ปรับตัว?
กล่าวอย่างแก้ตัวก็คือ ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมคุ้นเคยแต่การตัดสินใจชีวิตของตัวเอง และก็ยอมรับผลของมันอย่างเบิกบาน ผมไม่คุ้นกับการไม่ตัดสินใจ (เพราะควรรออีกฝ่าย หรือ ฯลฯ) ไม่คุ้นกับการทะเลาะ-การงอนกันแล้วกลับมาคืนดีกัน และเรื่องอื่นๆที่ใช้อารมณ์และหัวใจ
แต่หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่เพื่อนคนหนึ่งได้วิเคราะห์ไว้ คงต้องกล่าวว่า “เพราะมึงขี้ขลาดเกินไป ไอ้เม่น” และผมก็เห็นด้วยว่า ผมกลัวที่จะแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งให้เธอ เพราะผมคิดว่าหากได้แบ่งแล้ว เมื่อต้องแยกกัน มันจะหายไปตลอดกาล แล้วผมก็จะอยู่คนเดียวไม่ได้อีก ผมจะต้องรอส่วนที่หายไปเหมือนในนิทาน ซึี่งมันคงต่างมากกับชีวิตในปัจจุบันที่ผมสามารถแก้ปัญหาของผมได้ และมีชีวิตอยู่ได้ตามอัตภาพ
เหตุการณ์หลังจากนั้นคงไม่ยากเกินคาดเดา
เธองอนผมหลายครั้ง ผมง้อหลายครั้ง ดีอยู่พักหนึ่งแล้วผมก็เริ่มไม่มีเวลาให้เธออีก วนซ้ำเรื่อยๆ จนวันหนึ่งในเดือนที่แล้ว เราก็ตัดสินใจกลับมาเป็นเพื่อนกันดีกว่า แม้จะรู้ว่าเธอคงเสียใจมาก และผมก็เสียใจกว่าที่เคยคาดคิดไว้ – แต่ผมก็คงทำได้แค่นี้เท่านั้นเอง
แม้จะเชื่อมั่นว่า “ถ้ายังรักกัน เราคงทำได้ทุกสิ่ง” แต่กระนั้นความรักของเราก็จบลง
ผมบอกเธอว่า ผมรักเธอ แต่บางที คงเป็นเพราะผมรักเธอน้อยเกินไปนั่นเอง
Photo by Marta
ไม่เป็นไร
กินเหล้ากันเหอะ
I know, it is not alright.
But it will be fine, eventually.
Be good and all the best. 🙂
“…ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมคุ้นเคยแต่การตัดสินใจชีวิตของตัวเอง และก็ยอมรับผลของมันอย่างเบิกบาน ผมไม่คุ้นกับการไม่ตัดสินใจ (เพราะควรรออีกฝ่าย หรือ ฯลฯ) ไม่คุ้นกับการทะเลาะ-การงอนกันแล้วกลับมาคืนดีกัน และเรื่องอื่นๆที่ใช้อารมณ์และหัวใจ…”
คุณเหมือนผมมาก ๆ เลย
ช่างมันเถอะผ่านไปแล้ว ^_^ เรามีความสุขในแบบของเราก็ดีอยู่
คุณเม่นครับ ตามความเห็นของผมนั้น บทความนี้เป็นบทความที่ดีที่สุดตั้งแต่คุณเขียนมาเลยครับ เขียนมาจากความรู้สึกเนื้อแท้ มีสิ่งนอกฉาบแฝงเจือปนน้อยมาก ผมได้อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรัก ความรู้สึกที่คุณมีต่อคนคนนี้มากกว่าผู้หญิงคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณเลย
ประสบการณ์รักจริงๆครั้งนี้มีค่าต่อคุณมาก อย่าคิดว่าตัวเองเหมือนเดิมเลย ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในหัวใจคุณ แม้จะไม่มากก็ตาม
สำหรับผู้หญิงคนนั้นก็อย่าเสียใจมากนะครับ อย่างน้อยคุณก็เข้าถึงคุณเม่นได้มากกว่าใครแล้วล่ะ
ดำเนินชีวิตกันต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้
เรื่องต่างๆหากผ่านมาแล้วผ่านไป
หากมีสักกี่เรื่องที่จะคงอยู่ในความทรงจำแสนหวาน(จะสีจางหรือเปล่าก็แล้วแต่)
ผมเองก็ได้พบกับใครบางคนที่รู้จักกันนานนับ10ปีเช่นกัน
(อันสุดบังเอิญ)
ก็ยังคงมีง้องอน-และให้เวลาน้อยไปด้วยเช่นกัน
(ต่างแต่เพยงเพราะอยู่ไกลกันกว่า100km และยังคงดีต่อกันอยู่)
อย่างไรก็ตามชีวิตคงไม่น้ำเน่าน้อยกว่าละครช่อง7ไปสักเท่าใด
หรืออาจหวานซึ้งกว่างานเขียนของNicholas Spark หลายๆเล่ม
ซึ่งอย่างน้อยวันสักวันหนึ่งของพี่เม่นก็คงมาถึงในที่สุด
ขอให้พี่มีความสุขครับ
เพราะพี่เม่น
Welcome back to the club Mr. Vise President
Senior President
– AK
If I’m not wrong, I heard that you will resign from the club very soon? Right?
กูขอแต่งเพลงให้มึงโดยยืมวรรคสุดท้ายมึงมาดัดแปลง
เพลงรักเธอน้อยเกินไป
แด่ จักรกฤษณ์ ตาฬวัฒน์
สร้อย ถ้าเรายังรักกัน เราคงทำได้ทุกสิ่ง
” แต่เมื่อความรักของเราก็จบลงจริง
อาจเป็นเพราะบางที
บางทีฉันรักเธอน้อยเกินไป
โอ้เย้
ขอต้อนรับสู่ CLUB F (Fail in Lovo)
เจอกันเมื่อต้องการเหล้า
เมื่อพลาดไปแล้่วก็จงเก็บมาเป็นประสบการณ์ อย่างน้อยคุยก็ยังเป็นเพื่อนกับเธอได้อยู่
ถ้าเป็นผมคงยากที่จะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีก 🙂
🙂
(((กำลังรออ่านเรื่องต่อไป)))
สู้ต่อไป เหมือนที่เคยสู้มาโดยตลอด หนักกว่านี้ยังมีอีกเด้อ
สวัสดีครับพี่เม่น
เพิ่งรู้ว่ากลับมาเปิดเวบอีกครั้ง
ว่าง ๆ คงได้เจอนะครับพี่
…หนึ่ง 80 …
เม่น ขอถามหน่อยหวะ
ถ้าจะกลับไปจีบเพื่อนที่ไม่เคยติดต่อกัน 8 ปี นี่มันเหมือนเรื่อวของมึงรึเปล่า
ตอบคุณณัฐพล:
ไม่เหมือน
ไม่ได้มาอ่านนานมากๆแต่มาเจอเรือ่งนี้พอดี ก็นะ..ผ่านไปแล้วอ่าก็ยังดีเป็นเพื่อนกันอยู่
Wooo… How are you doing guys? Let’s go out sometime!! Call now!! I think u got my cell no. right?
มาทักทายครับพี่เม่น
ความทรงจำที่แสนดี
ความจริงคนเราก็ต้องการแค่คนที่อยู่เป็นเพื่อนกัน ต่างดูแลกันในระดับพอดี พอดี ในวันที่โลกนี้สวยงามน้อยกว่าวันอื่นๆ แค่นี้ก็มีความสุข…มากพอนะ
หัวใจ – ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าความมั่นใจหรอกน่า
เขียนได้เยี่ยม
บางการเป็นเพื่อนกันก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนเรายาวนานขึ้นกว่าการที่เป็นคนรักกันก้ได้ครับ ผมก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเลยในตอนนี้
แต่คิดไปคิดมา เป็นเพื่อนกันคงดีกว่า ผมไม่อยากทำให้ใคร ? หรือเธอเสียใจกับสิ่งที่ผมเป็น……….
พูดมาแล้วเศร้า….
เป็นธรรมดาค่ะ…ตอนนี้คุณอาจจะยังรักตัวเองมากที่สุด
และยังไม่เจอคนที่คุณรักมากพอที่คุณจะเสียสละให้เค้าได้
ยินดีด้วย
“เพราะมึงขี้ขลาดเกินไป ไอ้เม่น” และผมก็เห็นด้วยว่า ผมกลัวที่จะแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งให้เธอ”
ผมเห็นด้วย : ผม ก็ เป็นคนขี้ขลาดเหมือนกัน
สวัสดีคะ คุณเม่น
ขอขอบคุณแง่คิดที่คุณเขียนมาทั้งหมดนะค่ะ
ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้ว