สวัสดี
ยังมีคนอ่านเหลือไหมเนี่ย?
ทักทายทีไร คงต้องบอกว่า ไม่ได้เจอกันเสียนาน
ก็เห็นว่า นานอยู่ จริงนะขอรับ
ตอนนี้ย้ายมาบ้านใหม่เรียบร้อย ตอนแรกเขียนว่า ย้ายไปเมือง Vero Beach แต่ไปๆมาๆ เจ้าของร้านที่นี่เค้าอยากให้ช่วยงานที่เมือง Melbourne (ติด Orlando) ก็เลยย้ายมา Melbourne แทน โดยได้ที่พักฟรี มีงาน (เสิร์ฟ) ทำ และก็ลงเรียนหนังสือ (บังหน้า)
เลยเลือกคณะ Digital TV & Media Production ซึ่งรวมๆก็คือ เรียนด้านการทำสื่อในรูปแบบ Digital ทั้งทำหนัง ทำการ์ตูน กราฟฟิคดีไซน์ โดยใช้ห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น (WBCC) เป็น Lab, หลักสูตรน่าสนใจ มี Cer. ให้หลายใบ (แล้วแต่วิชาเลือก) เรียน 1-2 ปี (แล้วแต่ลง) ค่าเรียนเทอมละแสนกว่าบาท ถ้าเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ก็พอดีๆ ไม่เหลือเก็บ
มีข้าวกิน มีงานทำ มีเงินใช้ไปวันๆ บ้านอยู่ติดสวนสาธารณะ (แบบตั้งแค้มป์ได้) และไม่ไกลจากทะเล; มีรถกระบะขับ มีมือถือ มีเวลาสำหรับวาดรูป เข้าเน็ท (ก็เพิ่งต่อ Cable เสร็จนี่แล) มีห้องส่วนตัว มีโรงหนังใกล้บ้าน มีหนังสือภาษาอังกฤษ (ทั้งจากร้านมือหนึ่งมือสอง และในเน็ท) กองโตอยู่ในห้อง ให้ค่อยๆละเลียดอ่าน
ฯลฯ
แล้วก็เริ่มหวาดกลัวว่า ความสุขนั้น จะกลายเป็นการอุบัติซ้ำอันน่าเบื่อหน่าย
– เริ่มคุ้นเคยกับการเป็นเด็กเสิร์ฟและวิถีชีวิต ทำงานทั้งวันได้ร้อยกว่าเหรียญ เงินดีแต่ไม่มีอะไรท้าทายและไม่มีอนาคต (ถ้าเก็บเงินไม่ได้)
– หลังจากพบว่า ค่าจ้างแต่งงานแพงหูฉี่ และได้ศึกษากฎหมายและข้อผูกมัดของใบเขียวพอสมควร ก็คิดว่า การมีใบเขียวนั้น ไม่ค่อยคุ้มกันเลย (คนที่นี่ พูดกันให้เข้าใจง่ายว่า คนมีใบเขียว เค้าไม่อยู่เมืองไทยกันหรอก … เพราะต้องรักษาสภาพของใบเขียวด้วยการจ่ายอะไรต่อมิอะไรตลอดเวลา)
– ทั้งที่คิดว่า การต่อสู้ของตัวละคร 2 ตัวในความคิดนั้น จะจบลงแล้ว ตอนที่ตัดสินใจเลือกเรียนเกี่ยวกับ Art โดยพยายามหลีกเลี่ยง MBA และ MIS หรือ Com Science .. แต่ก็กลับรู้สึกเหมือนว่า มันยังสู้กันอยู่
– จะมีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายได้จริงๆหรือเปล่านะ? – จะเป็นเจ้าของกิจการโดยไม่เคี่ยวได้ละหรือ (ยังไม่เจอตัวอย่าง) – Career path (Career ต่างจาก Job ตรงที่พูดถึงความยั่งยืนมากกว่า) หลังจากหางานในเน็ทที่เมืองบริเวณใกล้เคียง พบว่า Skill ที่ถึงพัฒนาก็สู้ฝรั่งไม่ได้ คือ Communication Skill และ Persuasion Skill ซึ่ง หากตัดคุณสมบัตินี้ออกไปแล้ว ก็จะเหลืองานอยู่เสี้ยวกระผีกริ้น และไม่ต่างกับการขายแรงงานอื่นๆ
ฯลฯ
– วันนี้เปิดเรียนวันแรก เข้าเรียนคลาส Media Production พบว่า ครูที่สอนมี Background มาทางช่าง เก่งคอม แต่ทำงานศิลป์ได้ห่วยกว่าลูกทีมในเมืองไทยที่เคยร่วมงานกันหลายคน, เข้าเรียนคลาส College Algebra ง่ายกว่าเลขม.ปลาย, ดูอุปกรณ์ใน Lab อื่นๆ มันดี มันเท่ แต่ Software ต่างๆยังทันสมัยสู้พันทิพย์ไม่ได้
– รัฐบาลสหรัฐประกาศข่าวไล่จับโรบินฮู้ดในวีซ่าร์นักเรียน นัยเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู กระทบถึงเงินที่ได้ ระหว่างการมี Work permit กับไม่มี อยู่พอสมควร
– คนเอเชียที่นี่ ส่วนใหญ่จะมีทางเลือกหลักสองทาง คือ เรียนให้จบ แล้วกลับบ้าน กับ อยู่เพื่อเปิดร้านอาหาร
ฯลฯ
แต่ยังไม่หมดหรอกน่า
มันต้องมีทางสิ
มันต้องมีทาง
เพื่อนบางคนเป็นห่วงว่า กระผมคิดมาก สับสน และกำลังจะเป็นบ้า
เพื่อนบางคนเตือนว่า ให้หนักแน่น และทำตามแผน
เพื่อนบางคนถามว่า สนใจกลับมาทำบริษัท Trade ระหว่างจีน-ไทย-สหรัฐไหม?
(Withdraw ที่เรียนซะ จะได้เงินคืนแสนกว่าบาท)
เพื่อนบางคนบอกว่า อยากทำอะไรก็ทำ
ฯลฯ
หนังสือ อมตะ กล่าวว่าผู้คนในประวัติศาสตร์ ต่างแย่งชิงความเป็นอมตะ
ผมคิดว่า ผู้คนในปัจจุบันนั้น แค่จะรักษาตัวตนให้ดำรงอยู่ ยังยากเย็นเลย
ผมตัดสินใจอย่างไร ตัวตนของผมถึงจะยังดำรงอยู่?
หรือจริงๆมันไม่เกี่ยวกัน?
อยู่อเมริกามาแปดเดือน ไม่มากสำหรับการเป็นฝรั่ง แต่ไม่น้อยเลยสำหรับการเปิดโลกทรรศน์และทดสอบความสามารถบางอย่าง
หลักๆคงได้เคล็ดลับของชีวิตมาสองข้อ (อ่านแล้วอย่าเพิ่งขำ)
1. เวลาพูดภาษาอังกฤษ อย่าหัวเราะ (โรเบิร์ต บอกว่า อาการอย่างนี้เรียก Nervous & Stupid Asian)
2. เคล็ดลับสำหรับความรวย 2 ข้อคือ
…. 2.1 หามาให้มากกว่าที่ใช้ไป
…. 2.2 ใช้ไปให้น้อยกว่าที่หามา
ส่วนประเด็นเบ็ดเตล็ด – รู้จักนับเงินทอนแล้ว เลยได้รู้จักการใส่ใจใน agreement, การรักษาผลประโยชน์ และเก็บสถิติงบดุลของตัวเองเสียที – เริ่มเถียงฝรั่งได้บ้างแล้ว – ปฏิเสธ (โดยไม่ไร้หัวใจมากนัก) ได้ดีขึ้นกว่าเดิม – เชื่อฟังตัวเองมากขึ้น – มั่นใจในโมเดลธุรกิจขนาดกลางและเล็กมากขึ้น – เชื่อมั่นในการไม่ใช้เงินในอนาคตได้มากขึ้น
(ประเด็นเล็กๆ เช่นเรื่องบัตรเครดิต, ประเด็นใหญ่ๆ เช่น เรื่องการกู้เงินมาลงทุน) – สามารถหาความรู้ในอินเตอร์เน็ทได้เก่งขึ้น (ทั้งที่มันก็ใช้ Google เหมือนกันเนาะ?) – มองเห็นข้อเสียของธุรกิจ B2C มากขึ้น (ก่อนหน้านี้คิดว่า ไม่ยุติธรรมเลย ที่ประเทศไทยต้องทำตัวเป็น Sweatshop และกราบแทบเท้าลูกค้าฝรั่งในลักษณะ B2B แต่เมื่อมาอยู่กับธุรกิจ B2C ก็เลยได้สัมผัสถึงความเสี่ยงต่างๆ และปริมาณ Order ที่กระจัดกระจาย – ควบคุมประสิทธิภาพการผลิตไม่ได้) – ตำราธรรมะภาษาอังกฤษนั้น หลายประเด็นอ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่าภาษาไทย (คนรุ่นหลังๆ คงเข้าใจคำว่า Feeling ง่ายกว่า เวทนา ละกระมัง) – คัมภีร์ไบเบิล ภาษาอังกฤษอ่านยากจัง – หนังสือ HOW-TO ภาษาอังกฤษนั้นอ่านสนุกและไม่รู้สึกดัดจริต ขณะที่ภาษาไทยกลับรู้สึก (อาจเป็นไปได้เหมือนกับที่เราเห็นแหม่มแต่งโป๊แล้วไม่คิดว่าน่าเกลียด)
ฯลฯ
กับคืนวันที่ผันผ่าน
ข้อความในเว็บคุณคริสรู้สึกจะซีเรียสมาโดยตลอด
ก็เป็นแค่บางห้วงความคิดนะขอรับ
มิใช่ตลอดเวลา
เรื่องรื่นรมย์ก็มีเยอะ ควรจะเอามาเขียนแต่ก็ไม่ได้เขียน
เอาน่า…
แล้วเจอกัน
อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และอ้วนสาตตตตต (เดาเอาว่าใครเป็นใคร เคี้ยก เคี้ยก)