ทริปไมอามี่

25 พฤษภาคม 2003 03:04 น. บันทึก

“แม่ในความทรงจำนั้นไม่เคยแก่ขึ้นเลย”

ผมนึกประโยคนี้ขึ้นมา เพราะได้ไปเจอแม่อีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันตั้งแต่เด็กๆ แม่เคยบินไปเมืองไทยบ้างตอนผมบวช แต่มันก็นานแล้วเหมือนกัน

ทริปคราวนี้เกิดขึ้นเพราะแม่บอกว่า บินมาหาบ้างสิ อยู่อเมริกาเกือบครึ่งปีแล้วนะ ผมคิดว่า คงจะผัดผ่อนได้ยาก และก็เริ่มมีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินบ้างแล้ว ก็เลยตัดสินใจรีบไปในช่วงก่อนเปิดเทอมซัมเมอร์

(เกร็ดเล็กน้อย วิธีซื้อตั๋วที่นี่ หากไม่ต้องไปตามเวลาเป๊ะ คนส่วนมากจะใช้วิธีประมูลเอา ไปเปิดประมูลตั้งราคาไว้ที่เว็บ (เช่น Priceline) แล้วสายการบินต่างๆจะมา Bid ให้ใกล้เคียงกับราคาที่เราตั้งไว้ บางทีถูกกว่าซื้อแบบปกติครึ่งครึ่งเลยก็มี)

ไปลงที่ไมอามี่ แม่พาไปกินร้าน เรดล็อบสเตอร์ เจอกุ้งตัวเกือบเท่าเด็ก (เว่อร์ไปไปไหมเนี่ย) มีราคาตั้งแต่ 20 กว่าเหรียญ ถึง 40 กว่าเหรียญ กินแล้วก็ไม่อร่อยกว่ากุ้งแม่น้ำที่เมืองไทยซักเท่าไร (แต่เช็คบิลแล้วก็ต้องอร่อยจนได้เนาะ ฮ่า ฮ่า) แล้วแม่ก็พาไปดูบ่อนแถวๆนั้น นับว่าดีที่ผมไม่เล่นการพนัน ก็เลยไปเดินดูอย่างเดียว ให้เพื่อนแม่เล่นไป

(ผมเรียงลำดับอบายมุขของตัวเองว่า เหล้า-ผู้หญิง-ยาเสพติด-การพนัน หมายความว่า ถ้าให้เลือก ผมว่าผมเสพกัญชา ดีกว่า เล่นไพ่ป๊อก อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆผมเคยเล่นการพนันอย่างค่อนข้างสาหัสจนกลัวไปเลยก็ได้)

แล้ววันต่อมาก็ขับรถไปที่ Key west ซึ่งเป็นแหลมที่อยู่ใต้สุดของอเมริกา สาเหตุหลักเพราะเพื่อนแม่บอกว่า อยากไปดูสะพานข้ามทะเลเหมือนในหนัง True Lies

คืนต่อมาไปพักที่บ้านโรเบิร์ต แล้วก็ไปดูเมืองไมอามี่ แล้วก็บินกลับตอนค่ำๆ
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปหรือซื้อของฝาก ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากเที่ยวเลย

หลังจากคุยกันหลายวัน แม่ก็ชวนให้ไปอยู่กับแม่และเพื่อนแม่ แม่ถามว่าอยากจะทำและจะเป็นอะไร ผมตอบว่าอยากหาลู่ทางในชีวิต ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็หาเงินก็ได้ ผมไม่ได้อยากเรียนโท ถ้าอีก 5 ปีกลับเมืองไทยไม่มีปริญญาติดตัวเหมือนคนอื่นเขา มีเงินซัก 3-4 ล้านคงพอมีความสุขตามอัตภาพได้กระมัง แม่เลยชวนว่า งั้นมาทำเป็นซูชิเชฟมั้ย 3-6 เดือนแรกที่ร้านจะให้เดือนละ 1,600 เหรียญ แต่ถ้าเป็นแล้ว จะให้วันละ 180 เหรียญ รวมทิปด้วยก็ประมาณ 200 กว่า (วันละเกือบหมื่นบาท) ทำซัก 2-3 ปีแล้วค่อยหาลู่ทางอื่น ผมบอกว่า ขอคิดดูก่อน

ตอนนี้ลู่ทางของผมเลยมี

1. รองานที่โรเบิร์ตฝากๆให้กับบริษัทอเมริกัน ที่เป็นไปได้หลักๆก็มี 2 บริษัท คือ
1.1 Lutron เป็น Engineer และ Sale Engineer โดยขายตัวเองว่า ผมมีความรู้ทางไฟฟ้า และน่าจะดูตลาดทางเอเชียให้เค้าได้
1.2 GE เป็น Sale Engineer ในแผนกของอุปกรณ์การแพทย์ (ซึ่งกำลังจะเปิดตลาดทางเอเชีย) โดยขายตัวเองว่า ผมมี connection กับแพทย์ในเมืองไทยอยู่บ้าง

2. ไปอยู่กับแม่ และเป็นซูชิเชฟ
2.1 ทำงานและซื้อ I-20 (คือไม่ไปเรียน แต่ทำเหมือนไปเรียนตามกฎหมาย) จะทำให้มีเวลาทำงานเต็มที่
2.2 ทำงานและเรียนปริญญาตรี เพราะค่าเรียนถูกกว่าเรียนภาษา และยังสามารถหยุดซัมเมอร์เพื่อทำงานได้
2.3 ทำงานและเรียนปริญญาโท อันนี้แพงสุด และต้องใช้เวลามากสุด แต่ญาติๆและคนทั่วไปคงชอบ

ตอนนี้ยังไม่แน่ใจนักว่าควรเลือกทางไหนดี และทางไหนน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
แต่ลึกๆแล้วก็รู้สึกว่า ข้อ 2.2 น่าจะชัดสุด เลยฝันเฟื่องไปถึงการเรียน Restaurant Management ในระดับปริญญาตรีเพิ่ม บวกกับฝันลมๆแล้งๆว่า เปิดร้านอาหารที่เกาะเสม็ดในอนาคตก็น่าจะเป็นการพักผ่อนช่วงหนึ่งของชีวิตที่ไม่เลว (ค่าเช่าร้านบนเกาะ เดือนละ 15,000 บาท ควรลงเงินก่อน 300,000 สัญญาเช่าร้าน 3 ปี ไม่ต้องกลัวมาเฟีย เพราะเช่ากับมาเฟีย)

แต่เอาเถอะ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นไป ถ้าเราไม่ดิ้นก็สิ้นจาย …

นึกถึงสมัยหนึ่ง ที่นาย ป. ผู้แห้ว 3 เวลาหลังอาหาร และตกหลุมรัก 4 เวลาหลังอาหาร เข้ามาร้องไห้ฟูมฟายปรับทุกข์

“ไอ้เหี้ย กูอกหักอีกแล้วว่ะ ฮือ ฮือ”
“โอ รักแท้แพ้ระยะทาง และ ความห่างเหิน” เพื่อนอีกคนช่วยขยายความ
“นั่นสินะ เหมือนที่โบราณเค้าว่า สามวันจากนารีเป็นอื่น” เพื่อนอีกคนช่วยเสริมด้วยความสะจาย
“ช่าย ช่าย …” แต่แล้วเพื่อนอีกคนกลับทำท่าเหมือนนึกอะไรได้

“ไอ้เหี้ย สามวันจากนารีเป็นอื่น น่ะใช่”
“ว่าแต่ นารีเป็นอื่น … หรือมึงเป็นอื่นวะ ไอ้ ป.”

ความเห็น