ว่าง = ไม่ดิ้นรน

“ไอ้เม่น เดี๋ยวนี้มึงกลายเป็นเครื่องบำบัดความเหงาให้เพื่อนๆไปแล้วหรือวะ?”
คำอุทานจากไอ้อัค เมื่อรับทราบว่าไอ้เม่นตอนนี้ คิวเยอะอย่างกับดาราฮอลิวูด ต้องไปสลอนในที่ต่างๆ แล้วแต่ใครกำลังว่าง จนแทบไม่ค่อยได้กลับบ้าน

”… ไอ้เม่น กูรู้มึงว่าง มาเจอกันหน่อย …”
”… ไอ้เม่น กูโทรหามึงเฉยๆ ไม่มีเหี้ยอะไร กูรู้ มึงมีเวลาคุยกับกู …”
”… ไอ้เม่น เดี๋ยวสัปดาห์นี้กูหยุด ไปเที่ยวทะเลกัน …”
(คือ 9-10-11 ก.พ. นะขอรับ ใครอยากไปก็ Mail มาละกัน รถไอ้โอ๋ออกวันที่ 10 เวลา 18.00น.)

หรือแม้กระทั่งที่บ้าน
”… เม่น เดี๋ยววันจันทร์เจ๊กลับกรุงเทพ ยังไงขับรถมาส่งหน่อยสิ ที่ทองผาภูมิ ว่างไม่ใช่หรอเราน่ะ …”
”… เฮียเม่น ว่างแล้วก็เอากีตาร์(ของน้องสาว)ไปซ่อม แล้วก็เรียกช่างมาดูเพดานที่บ้านด้วยนะ แล้วก็ …”

ซึ่งแน่นอนว่า แม้จะบ่นไปบ้างตามมารยาท แต่ลึกๆแล้ว ผมก็รู้สึกว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้นี่แหละ ที่ชีวิตไม่ได้เจอมาเสียนาน

แล้วเมื่อหันไปดูคนอื่น ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยว่า เฮ้ย ที่ผ่านมาเนี่ย ชีวิตเราก็รีบเร่งเหมือนคนเหล่านั้นด้วยรึเปล่าวะ

ผมขึ้นรถไฟฟ้า มีคนจำนวนมากเบียดเพื่อแซงขึ้น , ขึ้นรถเมล์ , นั่งเรือ , เข้าลิฟท์ , กินข้าว , ขึ้นบันไดเลื่อน , ซื้อตั๋วหนัง ฯลฯ
ไม่ว่าจะทำอะไร นอกจากต้องต่อคิวแล้ว ยังต้องหาทางแซงคิวด้วย … ?
ชีวิตมันดิ้นรนกันขนาดนั้นเชียวหรือ … ?

วันก่อนนั่งคุยกับน้องๆ 80 ฟังความคิดไอ้ตี๋แล้วก็รู้สึกว่า คนที่ผมรู้จัก มันกลับเป็นพวก “ไม่ดิ้นรน” เยอะโว้ย

“ผมทำในสิ่งที่ผมอยากทำตลอดเวลาแหละพี่ ไม่ค่อยได้คิดถึงอนาคตมาก”
“ใช่ มันไม่ใช่เรื่องน่ายกย่อง แต่ผมก็คิดนะพี่ ..”
“ใช้ชีวิตอย่างนี้ ตายตอนอายุ 60 ก็ถือว่าอายุยืนหนักหนาแล้ว”
“นั่นหมายความว่า ผมมีเวลาอยู่ในโลกอีก 40 ปี”
“ถ้าผมมีเรื่องที่อยากทำอยู่ 10 อย่าง ผมก็มีเวลาแค่ อย่างละ 4 ปี”
“ครึ่งปีเรียนรู้ ทำจริง 3 ปี ครึ่งปีพัก”
“แล้วถ้าความฝันมีมากกว่านั้น ชีวิตยังได้ทำในสิ่งที่ฝันไม่ครบ ..”
” … เดี๋ยวก็ต้องตายแล้ว …”

ช่วงนี้ค่อนข้างมีเวลาให้ตัวเองได้คิดอะไรเยอะขึ้น และด้วยสิ่งที่เคยผ่านเข้ามาในหัว ผมก็เลยอยากจะวางเป้าหมายของชีวิตกับเค้ามั่ง

โดยมีปลายทางที่ฟังแล้วอาจจะอยากถีบ – คือ “ผมคิดว่า น่าจะมีทางทำงานสัปดาห์ละ 3 วัน”

เงินที่ได้จากวันแรก เอาไว้มีชีวิตอยู่ใน 1 สัปดาห์ เงินที่ได้จากวันที่ 2 เอาไว้ฟุ่มเฟือย เงินที่ได้จากวันที่ 3 เอาไว้เก็บ – และหาทางทำให้มันงอกขึ้นมา

“ไอ้เหี้ยเม่น มึงจะมากไป ต่อให้ Rich Dad & Poor Dad จะกล่อมคนโง่ๆทั้งโลกได้ว่า – มึงไปซื้อหุ้นไมโครซอฟท์ เดี๋ยวเงินจะงอกออกมาเอง และมึงจะรวย – ก็เถอะ แต่ นี่มันขี้เกียจเกินไปโว้ย”

“กูไม่ขี้เกียจ นี่กูดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว ก่อนนี้กูคิดว่า – ชาตินี้ไม่มีทางอดตาย – ซึ่งทำให้กูไม่เคยวางแผนของชีวิตเลย ตอนนี้กูกำลังคิดถึงเศรษฐศาสตร์แนวพุทธที่บอกว่า – ให้มึงลดการบริโภคลง แล้วเศรษฐกิจจะมั่นคง – กูก็รู้สึกว่า นี่แหละ น่าสนใจ – คือไม่บวช แต่ก็ไม่เบียดเบียนมาก”

“อ้อ จะว่าไปแล้ว แม้นักเศรษฐศาสตร์สายเคเนเชียน (ถือความคิดของ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ ที่กล่าวว่า ควรกระตุ้นให้บริโภคเยอะๆ ของจะได้ขายได้) อาจจะเคืองแนวคิดนี้อยู่บ้าง แต่ช่วงนี้กูบริโภคน้อยลง น้ำหนักกูลดลงด้วยนะโว้ยยย ฮ่า ฮ่า”

พูดไปให้มันยุ่งยาก ความจริงเรื่องทั้งหลายนั้น พวกเราต่างก็รู้มาตั้งแต่สมัยอนุบาล

”… ถึงเวลากินข้าว ก็มากินข้าวนะลูก แล้วก็กินให้พอดีคำ …”
”… เอ๊ .. คำใหญ่ไป มันก็เคี้ยวไม่เข้าสิ แม่บอกแล้วไง …”
(ขอยืมคำคุณลุงแฟร้งค์ จาก “My Way” มาหน่อยเถอะว้า ฮ่า ฮ่า)

นินทากาเลเหมือนเทสุรา เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าหายใจ

ช่วงนี้เพื่อนวิศวะ ที่เล่นมุขถ่อยๆเป็นอาจิณ ชักจะคุยเคร่งเครียดถึงการเป็น Entrepreneur จนเบียดบังมุขถ่อยให้ไอ้เม่นเก็บมาพิจารณา – อย่ากระนั้นเลย นินทาเพื่อนบดินทร์ด้วยมุขใสๆมั่งดีก่า เพื่อนคนนี้ชื่อว่า กิฟท์ (ญ.) กับแฟนชื่อเจี๊ยบ (ช.)

ไอ้เจี๊ยบ “กิฟท์รู้มั้ย วันนี้เราไปเจอสาวคนนึง น่ารักด้วยล่ะ”
ยัยกิฟท์ กำลังทำอะไรง่วนอยู่ ถึงกับชะงักงัน หันมาทางไอ้เจี๊ยบด้วยแววตาไม่ไว้ใจ
ยัยกิฟท์ “หรอ ที่ไหนหรอ แล้วเป็นไงมั่ง”
ไอ้เจี๋ยบ “ที่เซเว่น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน … เค้าหันมาสบตา และก็ยิ้มให้เราด้วยนะ”
ยัยกิฟท์ชักเลือดขึ้นหน้า แต่ต้องเก็บกริยาของกุลสตรี กระนั้นก็ยังไม่วายเผลอเอามือไปหยิกหูไอ้เจี๊ยบ
ยัยกิฟท์ “นี่ บอกมาดีๆนะ คุยกับเค้าหรือเปล่า”
ไอ้เจี๊ยบ “คือ เค้าหันมาคุยกับเราก่อนน่ะ”

“โอ๊ยยยย” (ยัยกิฟท์บิดหูไอ้เจี๊ยบแรงขึ้นอีกเล็กน้อย)
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ ฟังก่อน”
“เค้าหันมาสบตา ยิ้มให้เรา แล้วก็พูดว่า ….”

“รับซาละเปาเพิ่มมั้ยค้าาาาา”

ความเห็น